ใน Android 12 (API ระดับ 31) ขึ้นไป ระบบจะแปลงวิดีโอที่บันทึกในรูปแบบต่างๆ เช่น HEVC (H.265) เป็น AVC (H.264) โดยอัตโนมัติเมื่อแอปที่ไม่รองรับ HEVC เปิดวิดีโอ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้แอปจับภาพวิดีโอใช้การเข้ารหัสที่ทันสมัยและประหยัดพื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้นสำหรับวิดีโอที่บันทึกไว้ในอุปกรณ์โดยไม่ลดทอนความเข้ากันได้กับแอปอื่นๆ
ระบบจะแปลงรหัสรูปแบบต่อไปนี้โดยอัตโนมัติสำหรับเนื้อหาที่สร้างในอุปกรณ์
รูปแบบสื่อ | แอตทริบิวต์ XML | ประเภท MIME ของ MediaFormat |
---|---|---|
HEVC (H.265) | HEVC | MediaFormat.MIMETYPE_VIDEO_HEVC |
HDR10 | HDR10 | MediaFeature.HdrType.HDR10 |
HDR10+ | HDR10Plus | MediaFeature.HdrType.HDR10_PLUS |
Android ถือว่าแอปสามารถรองรับการเล่นสื่อทุกรูปแบบได้ ดังนั้นการแปลงรหัสสื่อที่เข้ากันได้จึงปิดอยู่โดยค่าเริ่มต้น
กรณีที่ควรใช้การแปลงรหัส
การแปลงรหัสเป็นกระบวนการที่ใช้การคำนวณสูงและทำให้เกิด ความล่าช้าอย่างมากเมื่อเปิดไฟล์วิดีโอ เช่น ไฟล์วิดีโอ HEVC ความยาว 1 นาทีจะใช้เวลาประมาณ 20 วินาทีในการแปลงรหัสเป็น AVC ในโทรศัพท์ Pixel 3 ด้วยเหตุนี้ คุณจึงควรแปลงรหัสไฟล์วิดีโอเมื่อส่งไฟล์ออกจาก อุปกรณ์เท่านั้น เช่น เมื่อแชร์ไฟล์วิดีโอกับผู้ใช้แอปเดียวกันหรือเซิร์ฟเวอร์ระบบคลาวด์ที่ไม่รองรับรูปแบบวิดีโอสมัยใหม่
อย่าทำการแปลงรหัสเมื่อเปิดไฟล์วิดีโอเพื่อเล่นบนอุปกรณ์หรือเพื่อสร้างภาพขนาดย่อ
การกำหนดค่าการแปลง
แอปสามารถควบคุมลักษณะการทำงานของการแปลงรหัสได้โดยการประกาศความสามารถของสื่อ คุณประกาศความสามารถเหล่านี้ได้ 2 วิธี ได้แก่ ในโค้ด หรือในทรัพยากร
ประกาศความสามารถในโค้ด
คุณสามารถประกาศความสามารถของสื่อในโค้ดได้โดยสร้างอินสแตนซ์ของออบเจ็กต์
ApplicationMediaCapabilities
โดยใช้เครื่องมือสร้าง
Kotlin
val mediaCapabilities = ApplicationMediaCapabilities.Builder() .addSupportedVideoMimeType(MediaFormat.MIMETYPE_VIDEO_HEVC) .addUnsupportedHdrType(MediaFeature.HdrType.HDR10) .addUnsupportedHdrType(MediaFeature.HdrType.HDR10_PLUS) .build()
Java
ApplicationMediaCapabilities mediaCapabilities = new ApplicationMediaCapabilities.Builder() .addSupportedVideoMimeType(MediaFormat.MIMETYPE_VIDEO_HEVC) .addUnsupportedHdrType(MediaFeature.HdrType.HDR10) .addUnsupportedHdrType(MediaFeature.HdrType.HDR10_PLUS) .build();
ใช้ออบเจ็กต์นี้เมื่อเข้าถึงเนื้อหาสื่อผ่านเมธอดต่างๆ เช่น
ContentResolver#openTypedAssetFileDescriptor()
Kotlin
val providerOptions = Bundle().apply { putParcelable(MediaStore.EXTRA_MEDIA_CAPABILITIES, mediaCapabilities) } contentResolver.openTypedAssetFileDescriptor(mediaUri, mediaMimeType, providerOptions) .use { fileDescriptor -> // Content will be transcoded based on values defined in the // ApplicationMediaCapabilities provided. }
Java
Bundle providerOptions = new Bundle(); providerOptions.putParcelable(MediaStore.EXTRA_MEDIA_CAPABILITIES, mediaCapabilities); try (AssetFileDescriptor fileDescriptor = contentResolver.openTypedAssetFileDescriptor(mediaUri, mediaMimeType, providerOptions)) { // Content will be transcoded based on values defined in the // ApplicationMediaCapabilities provided. }
วิธีนี้ช่วยให้ควบคุมเส้นทางโค้ดที่เฉพาะเจาะจงได้อย่างละเอียด เช่น การเรียกใช้การแปลงรหัสต่อเมื่อโอนไฟล์วิดีโอออกจากอุปกรณ์เท่านั้น ซึ่งมีความสำคัญเหนือกว่าวิธีที่อธิบายไว้ด้านล่าง
ประกาศความสามารถในทรัพยากร
การประกาศความสามารถในทรัพยากรช่วยให้ควบคุมการแปลงรหัสได้ครอบคลุม คุณควรใช้วิธีนี้ในบางกรณีเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากแอปของคุณ รับเฉพาะไฟล์วิดีโอจากแอปอื่นๆ (แทนที่จะเปิดไฟล์โดยตรง) และอัปโหลดไฟล์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่รองรับวิดีโอโคเด็กรุ่นใหม่ (ดู สถานการณ์ตัวอย่างที่ 1 ด้านล่าง)
การใช้วิธีนี้เมื่อไม่จำเป็นอย่างยิ่งอาจทำให้เกิดการแปลงรหัสในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น เมื่อสร้างภาพปกวิดีโอ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่แย่ลง
หากต้องการใช้วิธีนี้ ให้สร้างไฟล์ทรัพยากร media_capabilities.xml
ดังนี้
<?xml version="1.0" encoding="utf-8"?>
<media-capabilities xmlns:android="http://schemas.android.com/apk/res/android">
<format android:name="HEVC" supported="true"/>
<format android:name="HDR10" supported="false"/>
<format android:name="HDR10Plus" supported="false"/>
</media-capabilities>
ในตัวอย่างนี้ วิดีโอ HDR ที่บันทึกในอุปกรณ์จะได้รับการแปลงรหัสเป็นวิดีโอ AVC SDR (Standard Dynamic Range) อย่างราบรื่น แต่จะไม่มีการแปลงรหัสวิดีโอ HEVC
ใช้แท็ก property
ภายในแท็ก application
เพื่อเพิ่มการอ้างอิงไปยังไฟล์ความสามารถของสื่อ
เพิ่มพร็อพเพอร์ตี้ต่อไปนี้ลงในไฟล์ AndroidManifest.xml
<property
android:name="android.media.PROPERTY_MEDIA_CAPABILITIES"
android:resource="@xml/media_capabilities" />
ใช้ความสามารถด้านสื่อของแอปอื่นเพื่อเปิดไฟล์วิดีโอ
หากแอปแชร์ไฟล์วิดีโอกับแอปอื่น คุณอาจต้องแปลงรหัสไฟล์วิดีโอก่อนที่แอปที่รับจะเปิดได้
คุณจัดการกรณีนี้ได้โดยเปิดไฟล์วิดีโอโดยใช้ openTypedAssetFileDescriptor
และระบุ UID ของแอปที่รับ ซึ่งรับได้โดยใช้ Binder.getCallingUid
จากนั้นแพลตฟอร์มจะใช้ความสามารถด้านสื่อของแอปที่รับเพื่อพิจารณา
ว่าควรแปลงรหัสไฟล์วิดีโอหรือไม่
Kotlin
val providerOptions = Bundle().apply { putParcelable(MediaStore.EXTRA_MEDIA_CAPABILITIES_UID, Binder.getCallingUid()) } contentResolver.openTypedAssetFileDescriptor(mediaUri, mediaMimeType, providerOptions) .use { fileDescriptor -> // Content will be transcoded based on the media capabilities of the // calling app. }
Java
Bundle providerOptions = new Bundle(); providerOptions.putParcelable(MediaStore.EXTRA_MEDIA_CAPABILITIES_UID, Binder.getCallingUid()); try (AssetFileDescriptor fileDescriptor = contentResolver.openTypedAssetFileDescriptor(mediaUri, mediaMimeType, providerOptions)) { // Content will be transcoded based on the media capabilities of the // calling app. }
ตัวอย่างสถานการณ์
แผนภาพต่อไปนี้แสดงกรณีการใช้งานที่พบบ่อย 2 กรณี ในทั้ง 2 กรณี วิดีโอต้นฉบับจะจัดเก็บในรูปแบบ HEVC และแอปแชร์วิดีโอจะไม่รองรับ HEVC
ตัวอย่างที่ 1 แอปจับภาพวิดีโอเป็นผู้เริ่มการแปลงรหัส
แอปแชร์วิดีโอประกาศว่าไม่รองรับ HEVC ในไฟล์ทรัพยากรความสามารถของสื่อ จากนั้นจะขอวิดีโอจากแอปจับภาพวิดีโอ โดยแอปจับภาพวิดีโอจะจัดการคำขอและเปิดไฟล์โดยใช้
openTypedAssetFileDescriptor
ซึ่งระบุ UID ของแอปแชร์ ซึ่งจะเป็นการเริ่มกระบวนการแปลงรหัส
เมื่อได้รับวิดีโอที่แปลงรหัสแล้ว ระบบจะส่งวิดีโอไปยังแอปแชร์ ซึ่งจะอัปโหลดวิดีโอไปยังเซิร์ฟเวอร์ในระบบคลาวด์
ตัวอย่างที่ 2 แอปแชร์วิดีโอจะเป็นผู้เริ่มการแปลงรหัส
แอปจับภาพวิดีโอจะแชร์วิดีโอกับแอปแชร์วิดีโอโดยใช้
MediaStore
URI แอปแชร์วิดีโอจะเปิดไฟล์วิดีโอโดยใช้ openTypedAssetFileDescriptor
ซึ่งระบุว่าไม่รองรับ HEVC ในความสามารถด้านสื่อ การดำเนินการนี้จะเริ่มกระบวนการแปลงรหัส และเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว ระบบจะอัปโหลดไฟล์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ในระบบคลาวด์
รูปแบบที่ไม่ได้ประกาศ
ระบบจะเปิดใช้การแปลงรหัสสื่อที่เข้ากันได้สำหรับรูปแบบทั้งหมดที่ประกาศว่าไม่รองรับ และจะปิดใช้สำหรับรูปแบบทั้งหมดที่ประกาศว่ารองรับ สำหรับ รูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ได้ประกาศ แพลตฟอร์มจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะแปลงรหัส หรือไม่ ใน Android 12 ระบบจะปิดใช้การแปลงรหัส สำหรับรูปแบบที่ไม่ได้ประกาศทั้งหมด ลักษณะการทำงานนี้อาจเปลี่ยนแปลงสำหรับรูปแบบใหม่ใน อนาคต
ตัวเลือกสำหรับนักพัฒนาแอป
คุณสามารถใช้ตัวเลือกสำหรับนักพัฒนาแอปต่อไปนี้เพื่อลบล้างลักษณะการทำงานเริ่มต้นของการแปลงรหัส ของ Android
ลบล้างค่าเริ่มต้นของการแปลง การตั้งค่านี้จะกำหนดว่าแพลตฟอร์มควบคุมการแปลงอัตโนมัติหรือไม่ เมื่อเปิดใช้การลบล้าง ระบบจะไม่สนใจค่าเริ่มต้นของแพลตฟอร์ม และการตั้งค่าเปิดใช้ การแปลงรหัสจะควบคุมการแปลงรหัสอัตโนมัติ ตัวเลือกนี้จะปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น
เปิดใช้การแปลงรหัส การตั้งค่านี้ระบุว่าควรแปลงรหัสรูปแบบที่ไม่ได้ประกาศโดยอัตโนมัติหรือไม่ โดยจะเปิดใช้โดยค่าเริ่มต้น แต่จะมีผลก็ต่อเมื่อเปิดใช้ลบล้างค่าเริ่มต้นของการแปลงรหัสด้วย
ถือว่าแอปรองรับรูปแบบสมัยใหม่ การตั้งค่านี้จะควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อ แอปพยายามเล่นรูปแบบที่ไม่ได้ประกาศ กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อไฟล์ Manifest ไม่ได้ประกาศว่าแอป รองรับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือไม่ หรือ Google ยังไม่ได้เพิ่มแอปไปยังรายการบังคับการแปลงรหัสฝั่งเซิร์ฟเวอร์ เมื่อเปิดใช้การตั้งค่า แอปจะไม่แปลงรหัส แต่เมื่อปิดใช้ แอปจะ แปลงรหัส ตัวเลือกนี้จะเปิดใช้อยู่โดยค่าเริ่มต้น
แสดงการแจ้งเตือนการแปลง เมื่อเปิดใช้ แอปจะแสดง การแจ้งเตือนความคืบหน้าของการแปลงเมื่อการแปลงเกิดขึ้นจากการอ่าน ไฟล์สื่อที่ไม่รองรับ ตัวเลือกนี้จะเปิดใช้อยู่โดยค่าเริ่มต้น
ปิดใช้แคชสำหรับการแปลง หากเปิดใช้ แอปที่ต้องมีการแปลงจะไม่ใช้แคชสำหรับการแปลง ซึ่งอาจมีประโยชน์ในระหว่างการพัฒนาเพื่อเรียกใช้การแปลงรหัสในไฟล์สื่อที่ไม่รองรับได้อย่างง่ายดาย แต่ก็อาจทําให้อุปกรณ์ทํางานได้ไม่ดี ตัวเลือกนี้จะปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น