พัฒนาประสบการณ์การใช้งานสำหรับเด็กใน Wear OS

โปรดอ่านหลักเกณฑ์ต่อไปนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์การใช้งานแอป Wear OS สำหรับเด็ก นอกจากนี้ ให้ยืนยันว่าแอปหรือเกมเป็นไปตามข้อกำหนดสำหรับประสบการณ์ที่เหมาะสำหรับเด็ก

อ่านหลักการของ Wear OS

ดูแหล่งข้อมูลต่อไปนี้สำหรับการสร้างแอป Wear OS ใหม่

อย่าพอร์ตแอปโทรศัพท์

อย่าพอร์ตแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ไปยัง Wear OS อุปกรณ์ Wear OS มีแบตเตอรี่และส่วนประกอบที่เล็กกว่าอุปกรณ์เคลื่อนที่มาก ซึ่งทำให้เล่นเกมที่พอร์ตมาจากอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยตรงได้ยากมาก

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีออกแบบประสบการณ์การใช้งานสำหรับเด็กใน Wear OS

เลือกสภาพแวดล้อมการพัฒนา

หากต้องการพัฒนาประสบการณ์การใช้งานที่เหมาะสำหรับเด็ก คุณสามารถใช้ Compose สำหรับ Wear OS ซึ่งเป็นแนวทางที่แนะนำในการสร้าง UI ใน Wear OS รวมถึง Unity สำหรับ Android

หากคุณคุ้นเคยกับเวิร์กโฟลว์และความสามารถของ Unity มากกว่า หรือหากเกมมีความซับซ้อนมากขึ้นและมีกราฟิก 3 มิติและฟิสิกส์ เราขอแนะนำให้ใช้ Unity ในการพัฒนาเกม รวมถึงมีฟีเจอร์การเพิ่มประสิทธิภาพที่หลากหลาย ข้อกำหนดด้านคุณภาพของ Wear OS บางข้ออาจต้องใช้การติดตั้งใช้งานที่กําหนดเองใน Unity เช่น การรองรับการป้อนข้อมูลแบบหมุน

สำหรับเกมที่มีภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ ง่ายๆ เพียงไม่กี่รายการ Compose Animation API ก็เพียงพอแล้วและได้รับการรองรับในสภาพแวดล้อม Android มากกว่า

ลดผลกระทบต่อแบตเตอรี่ของอุปกรณ์

ลดเหตุการณ์ที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ในระยะเวลา 1 เซสชัน เด็กๆ ใช้นาฬิกาที่มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่สำคัญสำหรับผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าอุปกรณ์มีแบตเตอรี่เพียงพอหรือไม่

รายการต่อไปนี้เป็นแนวทางปฏิบัติแนะนำบางส่วนในการลดผลกระทบต่อแบตเตอรี่ นอกจากนี้ คุณยังดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีประหยัดพลังงานและแบตเตอรี่ได้ด้วย

  • ออกแบบสำหรับกรณีการใช้งานแบบออฟไลน์เพื่อให้เด็กๆ เล่นได้โดยไม่สิ้นเปลืองแบตเตอรี่เนื่องจากการใช้งานเครือข่าย
  • ลดงานที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือ GPS ให้เหลือน้อยที่สุด
  • จำกัดเวลาเล่นเกมต่อวัน
  • ใช้ API ที่ประหยัดพลังงานสําหรับการติดตามกิจกรรมตลอดวัน รวมถึงการติดตามการออกกําลังกาย
  • ลดการสร้าง Wakelock ด้วยตนเอง และใช้ WorkManager

รายการต่อไปนี้คือองค์ประกอบที่คุณไม่ควรรวมไว้ในประสบการณ์

  • อย่าใช้การติดตามด้วยเซ็นเซอร์โดยตรงเนื่องจากจะลดอายุการใช้งานแบตเตอรี่อย่างมาก
  • อย่าใส่ภาพเคลื่อนไหวที่เล่นนาน
  • อย่ากระตุ้นให้ผู้ใช้เปิดหน้าจอไว้นานกว่าที่จำเป็น

เตรียมพร้อมสำหรับประสบการณ์การใช้งานแบบสแตนด์อโลน

เมื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานแบบสแตนด์อโลน ให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้

  • ออกแบบให้เหมาะกับกรณีการใช้งานแบบออฟไลน์เพื่อให้เด็กๆ เล่นได้เสมอ
  • ทดสอบลักษณะการทำงานของแอปในโปรแกรมจำลองที่ไม่มีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เคลื่อนที่

ใช้ Watch Face Format เพื่อสร้างหน้าปัด

หน้าปัดที่ออกแบบมาสำหรับเด็กจะต้องสร้างโดยใช้ Watch Face Format โปรดคำนึงถึงผลกระทบของความอิ่มตัวของสีต่อประสิทธิภาพของแบตเตอรี่

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีออกแบบหน้าปัดโดยใช้ Watch Face Studio หรือกำหนดค่า Watch Face Format ด้วยตนเอง และดูเครื่องมือตรวจสอบหน้าปัด

ซ่อนการดำเนินการเปิดในโทรศัพท์

ตั้งแต่ Wear OS 5 เป็นต้นไป RemoteActivityHelper API จะรองรับการตรวจหาว่าอุปกรณ์ Wear OS อยู่ในโหมดสแตนด์อโลนหรือไม่ หากอุปกรณ์อยู่ในโหมดสแตนด์อโลน ให้ซ่อนการโต้ตอบเปิดในโทรศัพท์ที่แอปหรือเกมอาจแสดง

สำหรับกรณีการใช้งานที่แอปต้องเปิด URL สาธารณะในโทรศัพท์เพื่อแสดงข้อกำหนดในการให้บริการ ประกาศทางกฎหมาย นโยบายความเป็นส่วนตัว หรือข้อมูลอื่นๆ ที่คล้ายกัน ให้แสดงลิงก์สั้นหรือคิวอาร์โค้ดโดยใช้คอมโพเนนต์ Dialog หากคุณระบุคิวอาร์โค้ด ผู้ปกครองจะสแกนคิวอาร์โค้ดดังกล่าวได้โดยใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่

ตรวจสอบสถานะโหมดสแตนด์อโลนก่อนส่งคําขอการให้สิทธิ์ข้ามอุปกรณ์

หากแอปส่งคําขอการให้สิทธิ์ OAuth ไปยังอุปกรณ์เครื่องอื่น ให้ตรวจสอบก่อนว่าอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ในโหมดสแตนด์อโลนหรือไม่ โดยเรียกใช้ getAvailabilityStatus() จากออบเจ็กต์ RemoteAuthClient ดังนี้

  • หากผลลัพธ์คือ STATUS_UNAVAILABLE แสดงว่าอุปกรณ์อยู่ในโหมดสแตนด์อโลนและคุณควรรอส่งคําขอการให้สิทธิ์ OAuth ไปยังอุปกรณ์เคลื่อนที่
  • หากผลลัพธ์คือ STATUS_TEMPORARILY_UNAVAILABLE ให้รอให้ค่าเปลี่ยนเป็น STATUS_AVAILABLE ก่อนส่งคําขอการให้สิทธิ์